Why Urolift
ผู้ชายทุกคนเกิดมาพร้อมต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นต่อมที่อยู่ภายในร่างกาย ทำหน้าที่ผลิตน้ำเลี้ยงอสุจิ โดยมีตำแหน่งอยู่ล้อมรอบท่อปัสสาวะช่วงต่อจากกระเพาะปัสสาวะ เจ้าต่อมลูกหมากนี้เรียกได้ว่าเติบโตไปด้วยกันกับเจ้าของ กล่าวคือ เมื่อสูงวัยขึ้นขนาดของต่อมลูกหมากก็โตขึ้นตามไปด้วย โดยมีสถิติ คือ ผู้ชายอายุ 80 ปี 100 คน จะมีคนเป็นต่อมลูกหมากโตถึง 80 คน หรืออาจเรียกได้ว่า ผู้ชายส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีอาการต่อมลูกหมากโต
โดยอาการของโรคจะเกิดจากต่อมลูกหมากที่โตมากจนไปบีบกดท่อปัสสาวะให้ตีบแคบลง จึงทำให้มีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่คล่อง ไม่พุ่ง จนทำให้ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ หรือต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนและคุณภาพชีวิตของผู้ชายเป็นอย่างมาก
UROLIFT (อ่านว่า ยู-โร-ลิฟต์) คือ หนึ่งในเทคนิควิธีการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตแบบไม่ต้องผ่าตัด (minimally invasive surgery, MIS) ซึ่งเจ็บน้อยกว่า ใช้ยาสลบน้อยกว่า และใช้เวลาผ่าตัดน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบดั้งเดิม คนไข้จึงสามารถกลับบ้านได้ในวันนั้นเลย ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล (one-day treatment) โดย UROLIFT เป็นการใช้เครื่องมือขนาดเล็กสอดผ่านทางท่อปัสสาวะเพื่อวางอุปกรณ์ยึดต่อมลูกหมาก ทำให้ท่อปัสสาวะเปิดกว้างขึ้น ช่วยให้ปัสสาวะไหลได้สะดวกขึ้น และลดปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะของผู้ป่วย เช่น ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่สุด หรือปัสสาวะไม่ออก
เมื่อเปรียบเทียบกับเทคนิคการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วย MIS แบบอื่นๆ (เช่น iTind และ Rezum) ตัว UROLIFT นับว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย นอกจากนั้น จุดแตกต่างทางเทคนิคที่สำคัญของ UROLIFT มีดังนี้
UROLIFT อาศัยอุปกรณ์ขนาดเล็กจิ๋ว (implant) ใส่เข้าไปเพื่อยกต่อมลูกหมากอย่างถาวร ไม่ต้องถอดออกในภายหลังแบบ iTind
ไม่ได้ใช้ความร้อนแบบ Rezum
ไม่มีการผ่าตัดเปิดเนื้อเยื่อและไม่มีแผล
UROLIFT เป็นการรักษาต่อมลูกหมากโตโดยการใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กจิ๋วร้อยเข้าไปเพื่อยกและรั้งเนื้อต่อมลูกหมากให้ถ่างออก เพื่อขยายท่อปัสสาวะที่ตีบแคบจากการถูกต่อมลูกหมากกดทับ หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ UROLIFT จึงคล้ายการร้อยไหมยกกระชับใบหน้าในทางการแพทย์เสริมความงาม
อุปกรณ์ (implant) นี้ถูกออกแบบมาเพื่อใส่ค้างไว้ในร่างกายอย่างถาวร โดยทำมาจากสแตนเลสสตีลเกรดการแพทย์ (medical-grade stainless steel) และโลหะพิเศษนิทินอล (nitinol) ซึ่งเป็นโลหะผสมนิกเกิลและไทเทเนียม (nickel-titanium alloy) ที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง และใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำอวัยวะเทียม เช่น ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือด (stent) เป็นต้น
ขั้นตอนการรักษาด้วย UROLIFT จะเริ่มจากการให้ยาสงบประสาทอย่างอ่อน (sedation) และยาชาระงับปวด จากนั้นแพทย์จะสอดเครื่องมือส่องกล้องขนาดเล็กที่บรรจุอุปกรณ์ไหม (implant) ผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าไปจนถึงจุดที่ตีบจากต่อมลูกหมาก ใช้เครื่องมือดันยกต่อมให้ท่อถ่างออก แล้วปล่อยอุปกรณ์ไหมที่นำมา ให้ร้อยเข้าไปยึดต่อมลูกหมากให้อยู่ในจุดที่ยกดันไว้อย่างถาวร ท่อปัสสาวะจึงขยายกว้างในทันที โดยจำนวนอุปกรณ์ไหมที่ใช้จะขึ้นอยู่กับขนาดของต่อมลูกหมากและความตีบของท่อปัสสาวะ แต่ทั่วไปมักอยู่ที่ 4-6 ตัว
UROLIFT เป็นการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตที่ถูกบรรจุอยู่ในแนวทางการรักษาของ American Urological Association (AUA) ตั้งแต่ปี 2018 จึงถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่นอกเหนือไปจากการรักษาด้วยยาและการผ่าตัดแบบดั้งเดิม
โดยเหตุผลที่ควรเลือก UROLIFT ได้แก่
เป็นการรักษาแบบไม่ผ่าตัดใหญ่
มีความปลอดภัยสูง
ผลข้างเคียงน้อยและฟื้นตัวเร็ว
ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ไม่มีผลกระทบกับสมรรถภาพทางเพศ
อัตราความสำเร็จของการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วย UROLIFT
การไหลของปัสสาวะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
50% ของผู้ป่วยหลังได้รับการรักษา มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
อัตราการรักษาซ้ำ มีเพืยง 13.6% เมื่อผ่านไปแล้ว 5 ปี
ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจกรรมได้ตามปกติ หลังทำหัตการภายใน 3-5 วัน
0% ผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศและการหลั่งอสุจิ
ด้วยความที่ UROLIFT ใช้เทคนิคที่ใช้การร้อยไหมเข้าไปรั้งเนื้อต่อมลูกหมาก ให้ยกขึ้นจากท่อปัสสาวะ อุปกรณ์ไหมที่ใช้จึงจะยังใส่คาไว้ในร่างกายอย่างถาวร ซึ่งความสามารถในการยกของไหมก็มีขอบเขตจำกัด หากต่อมลูกหมากใหญ่เกินไป หรือท่อปัสสาวะตีบมาก ๆ ก็จำเป็นต้องเลือกการรักษาด้วยวิธีอื่น
โดย UROLIFT เหมาะสมกับ
ผู้ที่ต่อมลูกหมากโตปานกลางถึงใหญ่ แต่มีขนาดไม่เกิน 100 กรัม
ผู้ที่ยังปัสสาวะได้หรือปัสสาวะแล้วยังมีปัสสาวะเหลือค้างไม่เกิน 350 ซีซี
ผู้ป่วยที่กังวลเรื่องผลข้างเคียงของการผ่าตัด
ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพทางเพศ
มาถึงตรงนี้ถือได้ว่าเราได้อ่านข้อมูลทางการแพทย์ของ UROLIFT มาก็ไม่น้อย แต่ไหนเลยจะเทียบได้กับคำบอกเล่าของคนที่ผ่านประสบการณ์จริงมาแล้ว คลิปด้านล่างนี้คือรีวิวจากผู้ที่ได้รับการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วย UROLIFT ที่โรงพยาบาล BNH
ข้อดีของ UROLIFT มีดังนี้
ไม่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะหลังการรักษา
ไม่ต้องวางยาสลบ
อุปกรณ์ไหมที่ร้อยเข้าไปจะเปิดท่อปัสสาวะได้ในทันที จึงเห็นผลเร็ว
หัตถการใช้เวลาแค่ 10 -15 นาที
ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
ไม่มีแผล
ฟื้นตัวเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นแค่ 3-5 วันก็กลับไปทำงานได้
ปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อย
ไม่ส่งผลต่อสุขภาพทางเพศและการหลั่ง
นพ. สรรชัย วิโรจน์แสงทอง ถือเป็นหนึ่งในแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะที่บุกเบิกในการนำเอาเทคโนโลยีการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วย minimally invasive surgery (MIS) เข้ามาในไทย โดยคุณหมอเป็นแพทย์ 1 ใน 3 คนของประเทศไทยที่สามารถรักษาด้วยเทคนิค Rezum จาก Boston Scientific ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังเป็น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบทางเดินปัสสาวะ คนแรกในประเทศไทย ที่ดำเนินการรักษาด้วยทั้ง 2 เทคนิค Rezum และ iTind
ปัจจุบัน ด้วยความมุ่งมั่นในการให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ผู้ชายจำนวนมากที่ต้องทนทุกข์กับโรคต่อมลูกหมากโต นพ. สรรชัย วิโรจน์แสงทอง ได้เพิ่มขีดความสามารถในการรักษาด้วย UROLIFT ซึ่งเป็นเทคนิคตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาในไทยอีกด้วย
เมื่อถึงวัยหนึ่ง ผู้ชายเกือบทุกคนจะหนีไม่พ้นโรคต่อมลูกหมากโต และต้องเจอกับปัญหาการปัสสาวะ การรักษา UROLIFT เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับการยอมรับจาก American Urological Association (AUA) และสมาคมศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ดังนั้น สำหรับใครที่ไม่อยากกินยารักษาต่อมลูกหมากโตไปตลอดชีวิต อาจลองพิจารณาทางเลือกนี้ด้วยตนเอง และปรึกษาแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะ
การรักษาด้วย UROLIFT ที่ รพ BNH มีราคาประมาณ 300,000 บาท
การรักษาด้วย UROLIFT ทำภายใต้การดมยาสลบ Sedation จึงจะไม่รู้สึกระหว่างที่ทำ แต่อาจมีความไม่สบายตัวจากอาการข้างเคียงนาน 1 – 2 สัปดาห์หลังการรักษา อย่างไรก็ตาม แพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะของเราจะแนะนำทางเลือกต่าง ๆ รวมถึงการใช้ยาบรรเทาอาการปวดเพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สุขสบายนี้
เนื่องจากการรักษาด้วย UROLIFT ได้รับการรับรองจาก US FDA ในปี 2013 และยังได้รับการรวมอยู่ในแนวทางการรักษาของ American Urological Association (AUA) ตั้งแต่ปี 2018 ส่วนในไทย UROLIFT ได้ผ่านการรับรองโดยอ.ย. เมื่อปี 2024 ดังนั้น ประกันภัยส่วนใหญ่จึงอนุมัติการรักษาด้วย UROLIFT สำหรับผู้ป่วยที่เป็นต่อมลูกหมากโต
อย่างไรก็ตาม ที่โรงพยาบาล BNH มีทีมงานดูแลลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ
และช่วยตรวจสอบคุณสมบัติ และสิทธิประโยชน์ของการประกันก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษา