ต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia หรือ BPH) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไป โดยเฉพาะในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทั้งในเรื่องการปัสสาวะผิดปกติ ปัสสาวะบ่อยกลางคืน หรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยวิธีการรักษาต่อมลูกหมากโตในปัจจุบันมีทั้งแบบไม่ผ่าตัด (ยา) และแบบผ่าตัดหรือใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Rezūm หรือ TURP ซึ่งในบทความนี้จะเน้นเจาะลึกเกี่ยวกับ “ยารักษาต่อมลูกหมากโต” ว่าคืออะไร มีกี่ประเภท ทำงานอย่างไร ใครควรใช้ และข้อควรระวังอะไรบ้าง

อาการของต่อมลูกหมากโต

  • ปัสสาวะขัด ไหลช้า หรือสะดุดกลางทาง: เกิดจากแรงดันของปัสสาวะที่ลดลงเพราะท่อปัสสาวะถูกเบียดจากต่อมลูกหมากที่โตขึ้น
  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน: รบกวนการนอนหลับอย่างมาก และอาจเป็นสัญญาณว่าอาการเริ่มกระทบต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ รู้สึกปวดปัสสาวะทันที: อาจมีอาการรุนแรงขึ้นเมื่อระบบประสาทตอบสนองต่อความดันในกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ
  • ปัสสาวะไม่สุด มีการคั่งค้างในกระเพาะปัสสาวะ: เสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะในระยะยาว

วิธีรักษาต่อมลูกหมากโต

  • เริ่มจากการปรับพฤติกรรม: ลดปริมาณคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และการดื่มน้ำก่อนนอน ป้องกันการปัสสาวะกลางคืนบ่อย
  • ใช้ยารักษาต่อมลูกหมากโต: เป็นแนวทางเบื้องต้นที่ได้ผลดีในผู้ป่วยส่วนใหญ่และไม่ต้องผ่าตัด
  • พิจารณาวิธีการอื่น ๆ เมื่อยาไม่ได้ผล: เช่น เทคโนโลยี Rezūm ที่ไม่ต้องผ่าตัด หรือการผ่าตัด TURP ที่เป็นมาตรฐาน
ทำไมถึงต้องรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยยา?

ทำไมถึงต้องรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยยา?

การรักษาด้วยยาถือเป็นแนวทางแรกเริ่มที่แนะนำสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการยังไม่รุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มนี้

  • มีอาการเริ่มต้น: เช่น ปัสสาวะสะดุด ปัสสาวะนานขึ้น รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
  • ไม่มีภาวะแทรกซ้อน: ยังไม่พบปัญหานิ่ว ติดเชื้อ หรือไตเสื่อม จึงสามารถเริ่มรักษาด้วยยาได้อย่างปลอดภัย
  • ยังไม่พร้อมผ่าตัด: เหมาะกับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคร่วมที่ทำให้การดมยาสลบมีความเสี่ยง

ประเภทของยารักษาต่อมลูกหมากโต

1. กลุ่ม Alpha Blockers (เช่น Tamsulosin, Alfuzosin)

กลไกการทำงาน
ช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบรอบต่อมลูกหมากและบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ท่อปัสสาวะเปิดกว้างขึ้น ส่งผลให้การไหลของปัสสาวะสะดวกมากขึ้น ลดแรงต้านขณะปัสสาวะ

ข้อดี

  • เห็นผลชัดเจนภายใน 1–2 สัปดาห์ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบรรเทาอาการเร็ว
  • ลดอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด และความรู้สึกไม่สบายเวลาปัสสาวะได้อย่างดี
  • สามารถใช้ร่วมกับยาอื่นได้ในกรณีที่ต้องการการรักษาแบบเสริมประสิทธิภาพ

ข้อเสีย

  • ไม่ช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมาก ทำให้อาการอาจกลับมาได้เมื่อหยุดยา
  • อาจทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ความดันต่ำ น้ำอสุจิย้อนกลับ หรืออ่อนแรงได้ในบางราย

2. ยาลดขนาดต่อมลูกหมาก กลุ่ม 5-Alpha Reductase Inhibitors (เช่น Finasteride, Dutasteride)

กลไกการทำงาน
ยากลุ่มนี้จะลดการเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้กลายเป็น DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก ส่งผลให้ขนาดของต่อมลูกหมากค่อย ๆ เล็กลง

ข้อดี

  • ลดขนาดของต่อมลูกหมากได้จริง มีผลระยะยาว
  • ช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคต เช่น การต้องผ่าตัดหรือภาวะปัสสาวะอุดตันเฉียบพลัน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีต่อมลูกหมากขนาดใหญ่กว่า 30–40 กรัม

ข้อเสีย

  • ต้องใช้เวลานานกว่า 3–6 เดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
  • อาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงในบางราย เช่น อาการหลั่งช้า ความต้องการทางเพศลดลง หรืออาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

3. ยาสมุนไพร (เช่น Saw Palmetto)

กลไกการทำงาน
แม้กลไกยังไม่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ แต่เชื่อว่าช่วยลดการอักเสบและยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนฮอร์โมน DHT

ข้อดี

  • มีผลข้างเคียงน้อย เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาเคมีหรือมีโรคร่วม
  • มีฤทธิ์อ่อน จึงสามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันบางชนิดได้
  • ช่วยลดอาการระคายเคืองในระบบปัสสาวะเบื้องต้น

ข้อเสีย

  • ยังไม่มีผลการศึกษาที่เพียงพอจะยืนยันประสิทธิภาพเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน
  • ต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องในการรับประทาน เพื่อให้เห็นผล

หมายเหตุ: Saw Palmetto ถูกจัดเป็นอาหารเสริมในประเทศไทย ไม่ใช่ยา จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

ต่อมลูกหมากโต ห้ามกินยาอะไร

  • ห้ามใช้ยากลุ่ม Antihistamine: เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้เวียนศีรษะบางชนิด เพราะอาจรบกวนการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไม่ออก
  • ยาลดน้ำมูกที่มี pseudoephedrine: ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะหดตัว เพิ่มความยากในการปัสสาวะ
  • ยาขับปัสสาวะบางชนิด: อาจทำให้เกิดการปัสสาวะบ่อยหรือกระเพาะปัสสาวะล้า ควรใช้ภายใต้คำแนะนำแพทย์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยารักษาต่อมลูกหมากโต

ยารักษาต่อมลูกหมากโต ดีไหม? ทำไมควรปรึกษา Dr.Suntchai ก่อนเริ่มใช้ยา

นพ สรรชัย วิโรจน์แสงทอง (Dr.Suntchai) แพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะผู้มากประสบการณ์ ให้การดูแลคนไข้ต่อมลูกหมากโตด้วยแนวทางที่ครอบคลุม ตั้งแต่การใช้ยาไปจนถึงเทคโนโลยีแผลเล็ก เช่น iTind และ Rezum

แม้ยาจะเป็นทางเลือกแรกที่ใช้กันทั่วไป แต่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของยาแต่ละชนิดกับร่างกายคนไข้ ซึ่งอาจต้องใช้ต่อเนื่อง และมีผลข้างเคียงในบางราย คุณหมอสรรชัยให้ความสำคัญกับการพูดคุยเพื่อเลือกทางรักษาที่เหมาะกับแต่ละคนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับยา ติดตามผล หรือเปลี่ยนแนวทางรักษาเมื่อถึงเวลา

สรุป

ยารักษาต่อมลูกหมากโตช่วยบรรเทาอาการได้ดีในหลายราย แต่ไม่ใช่คำตอบถาวรเสมอไป การมีแพทย์เฉพาะทางคอยดูแลตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยให้คุณวางแผนการรักษาได้อย่างมั่นใจ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ยารักษาต่อมลูกหมากโต

Q: ยารักษาต่อมลูกหมากโตต้องกินตลอดชีวิตไหม?

 A: ไม่จำเป็นเสมอไป ขึ้นอยู่กับผลตอบสนองต่อยาและการประเมินจากแพทย์

Q: ยารักษาต่อมลูกหมากโตทำให้น้ำอสุจิหายไปหรือไม่?

A: ยาบางกลุ่ม เช่น Tamsulosin อาจทำให้น้ำอสุจิย้อนกลับ แต่ไม่ได้หายไป เพียงแค่ไม่ออกมาทางอวัยวะเพศ

Q: ยาสมุนไพรรักษาต่อมลูกหมากโตได้จริงไหม?

A: มีผู้ใช้บางรายรู้สึกดีขึ้น แต่หลักฐานทางการแพทย์ยังไม่ชัดเจน จึงควรใช้ควบคู่กับการปรึกษาแพทย์

Q: ยารักษาต่อมลูกหมากโตมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?

A: ผลข้างเคียงขึ้นอยู่กับประเภทของยา เช่น

  • กลุ่ม Alpha Blockers อาจทำให้เวียนหัว ความดันตก หรือน้ำอสุจิย้อนกลับ
  • กลุ่ม 5-ARI อาจส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ เช่น ความต้องการทางเพศลดลง หรือหลั่งช้า

Q: ถ้าใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรทำอย่างไร?

A: หากใช้ยา 3–6 เดือนแล้วยังไม่มีอาการดีขึ้น ควรกลับมาพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจ PSA, อัลตราซาวนด์ หรือพิจารณาวิธีรักษาอื่น เช่น Rezūm หรือ TURP

Q: ยารักษาต่อมลูกหมากโตสามารถป้องกันมะเร็งได้หรือไม่?

A: ไม่สามารถป้องกันได้โดยตรง แต่ยากลุ่ม 5-ARI เช่น Finasteride อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากบางชนิดได้ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

Q: สามารถใช้ยาแบบไหนเพื่อให้ดีทั้งเรื่องปัสสาวะและสุขภาพเพศชาย?

A: การเลือกยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะแต่ละรายมีปัจจัยต่างกัน เช่น อายุ โรคประจำตัว หรือความต้องการเรื่องสมรรถภาพ ซึ่งแพทย์อาจเลือกใช้ยาเดี่ยวหรือผสมกัน

Q: ยาเหล่านี้สามารถหาซื้อได้เองหรือไม่?

A: ยาส่วนใหญ่เป็นยาอันตรายที่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ไม่แนะนำให้ซื้อใช้เอง เนื่องจากต้องประเมินภาวะแทรกซ้อน ความเหมาะสม และผลข้างเคียงเฉพาะราย